ควบคุมความเสียหายเรื่องส่วนตัว ตัดวงจรข่าวลือและเรื่องซุบซิบนินทา
ใครที่เล่าเรื่องนินทาให้คุณฟัง เขามีโอกาสจะนินทาคุณได้เช่นกัน
การซุบซิบนินทาทำให้มนุษย์หลงคิดไปเองว่ามีอำนาจ เมื่อผู้คนรู้ว่าใครเป็นต้นตอข่าวลือ คนอื่นๆให้ความสนใจและทำให้เขารู้สึกเป็นคนสำคัญ เพราะใครก็อยากข้อมูลใหม่ล่าสุดเสมอ

คนทำงานส่วนใหญ่ถ้าไม่ตกเป็นเป้าของการใส่ร้ายป้ายสี ก็อาจกลายเป็นเหยื่อของการซุบซิบนินทาเล็กๆน้อยๆ และเมื่อคุณพยายามอธิบายให้ทุกคนเชื่อว่าข่าวลือนั้นไม่เป็นความจริง หลายคนจะตีความปฏิกิริยาของคุณว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการยอมรับสารภาพว่าข่าวลือนั้นเป็นความจริง
การเปิดโปงต้นตอ
เมื่อตัวตนเป็นความลับ มนุษย์จะกล้าสร้างความเจ็บปวดทางกายและใจให้กับผู้อื่นได้มากขึ้น การปกปิดตัวตนจะลดทอนความยับยั้งชั่งใจ มีตัวอย่างทดลอง นักจิตวิทยาให้นักศึกษาหญิงของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง สวมเสื้อคลุมสีขาวแบบเสื้อมีฮู้ดเพื่อปกปิดใบหน้าของตัวเอง และขอให้พวกเธอกดปุ่มช็อตไฟฟ้าผู้หญิงคนหนึ่ง (ไม่ใช่การช็อตจริง) ปรากฏว่าพวกเธอกดปุ่มช็อตไฟฟ้านานเป็นสองเท่า เมื่อเทียบกับผู้หญิง อีกกลุ่มที่ ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดบังใบหน้า

มีการศึกษาเพิ่มเติมพบว่าเมื่อเราไม่เห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนจริงๆหรือมองไม่เห็นตัว ความรู้สึกสงสารและเห็นอกเห็นใจของเราจะลดลง ทำให้นักบินที่ทำภารกิจทิ้งระเบิดลงกลางใจเมืองมีความบอกช้ำทางจิตใจน้อยกว่าทหารภาคพื้นดินที่ต้องจ่อยิงใครบางคนในระยะประชิด
เมื่อตัวตนถูกปิดเป็นความลับ มนุษย์จะกล้าสร้างความเจ็บปวดทางกายและใจให้กับผู้อื่นได้มากขึ้น

ในสถานการณ์ใดก็ตามที่ตัวตนของเราถูกกลืนไปแวดล้อมหรือกับกลุ่มคน มนุษย์มีแนวโน้มว่าความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดีจะเลือนหายไปด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ข่าวลือแพร่สะพัดอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อคุณเปิดตัวต้นต่อของข่าวได้แล้ว ข่าวลือนั้นก็จะเงียบหายไปเอง วิธีที่ดีที่สุดในการหยุดเรื่องซุบซิบนินทา คือการเดินหน้าเข้าไปหาคนปล่อยข่าวโดยตรง แล้วบอกว่าคุณรู้ว่าเขากำลังทำอะไร รวมถึงตอกย้ำให้เขารู้ว่าคุณมีตัวตนอยู่จริงและคุณได้รับความเสียหายจากข่าวลือเรานั้นจริงๆ
ใครที่เล่าเรื่องนินทาให้คุณฟัง เขามีโอกาสจะนินทาคุณได้เช่นกัน
เริ่มชำแหละข่าวลือ
วิธีก่อนหน้านี้จะใช้ได้ผลดีถ้าคุณรู้ต้นตอของข่าวลือ แต่ถ้าคุณไม่รู้หรือแม้กระทั่งคุณรู้ต้นตอด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนเขาไม่สนใจ แล้วคุณจะทำอย่างไร ?
ข่าวลือจะแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว หรือ จากค่อยๆเงียบหายไป ขึ้นอยู่กับตัวแปรสำคัญ 2 ประการ คือ ข่าวลือนั้นน่าสนใจหรือไม่และดูน่าเชื่อถือหรือไม่ ว่ากันว่าเรื่องที่มีความจริงครึ่งๆ กลางๆ อันตรายกว่าเรื่องโกหก ไม่มีใครซุบซิบนินทากันในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง 100% เพราะนั่นไม่เรียกว่านินทา แต่เป็นการเล่าเรื่องที่แต่งขึ้นมามากกว่า
วิธีการทางจิตวิทยาที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหานี้ได้ คือการน้อมรับและแต่งเติมเรื่องราวให้พิสดารยิ่งขึ้นยิ่งไปอีกแทนที่จะปฏิเสธหรือพยายามแก้ข่าว ยิ่งเรื่องราวดูน่าเชื่อถือน้อยลงเท่าไหร่ ผู้คนจะใส่ใจน้อยลงเท่านั้น เมื่อเรื่องราวดูไม่สมเหตุสมผลมันก็จะไม่น่าสนใจอีกต่อ ส่วนคนที่ไม่เคยเชื่อมาก่อนก็จะเริ่มสงสัยว่าใครพูดความจริงกันแน่เมื่อข่าวลือนั้นน่าเชื่อถือน้อยลงมันก็จะเงียบหายไปเอง
เรื่องที่มีความจริงครึ่งๆ กลางๆ อันตรายกว่าเรื่องโกหก
อย่าพยายามแก้ตัว
ถ้าคุณทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งลงไปแล้ว อย่าพยายามแก้ตัวหรือปกป้องตัวเองแต่ให้พูดว่า “ฉันนี่โง่จริงๆ และฉันขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น” แค่ประโยคเดียวก็บรรลุจุดประสงค์สำคัญ 3 ข้อด้วยกัน
- แสดงให้เห็นว่าคุณรู้ว่าสิ่งที่คุณทำนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ซึ่งหมายความว่าคุณคงไม่ทำเช่นนั้นอีก
- แสดงให้เห็นว่าคุณก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งจริงๆ (ผิดพลาดได้) แล้วผู้คนจะรู้สึกชอบคุณมากขึ้น เพราะคุณกล้าที่จะยอมรับในเรื่องที่น่าอายและแสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มตัว
- แสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์อย่างเต็มที่ ในทางกลับกันคุณเองก็มีแนวโน้มที่จะให้อภัยคนอื่นที่มีความซื่อสัตย์ได้ง่ายกว่าเช่นกัน
โลกของคนดัง
ลองดูจากโลกของคนดังเป็นตัวอย่าง เมื่อไหร่ก็ตามที่ดาราสักคนออกมายอมรับและกล่าวโทษตัวเอง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอ่อนน้อมและการยอมรับว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเป็นเรื่องที่ผิด ผู้คนจะให้อภัยและค่อยๆลืมกันไปเอง แต่เมื่อใครบางคนออกมาปฏิเสธข่าวหรือทำท่าทางวางโต สื่อมวลชนและผู้คนก็พร้อมที่จะรุมทึ้งเขาให้แหลกเป็นจุณด้วยความยินดี คนที่แสดงความอ่อนน้อมออกมาอย่างเต็มที่ คือคนที่เลือกจะโจมตีตัวเองก่อน จึงไม่เหลือสิ่งใดให้คนอื่นมาทำอะไรได้อีก

ขอความช่วยเหลือ
เมื่อคุณเผชิญหน้ากับสถานการณ์ด้วยการทำตัวให้อ่อนแอและบอบบางที่สุด คุณจะสามารถขุดรากถอนโคนต้นตอข่าวลือที่ร้ายกาจที่สุดได้
สมมุติว่ามีคนขับรถตัดหน้าเราบนถนน เราอยากรู้ทันทีว่าขับรถคันนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะเราต้องการดูให้แน่ใจว่าเขามีท่าทางเหมือนคนที่จงใจขับรถตัดหน้าเราหรือเปล่า ในทางกลับกันถ้าเราเห็นคนขับเป็นผู้หญิงชราตัวเล็กๆ เชื่อได้ว่าเราจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเท่ากับการได้เห็นหน้าชายหนุ่มวัยคะนอง ที่กำลังพ้นควันบุหรี่และเปิดเพลงเสียงดัง ผู้คนส่วนใหญ่มักจะคิดเอาเองว่า หญิงชราแค่คงมองไม่เห็นรถของเราเท่านั้น แต่ผู้ชายคนต้องจงใจขับรถตัดหน้าเราอย่างแน่นอน!
สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ชอบทำบ่อยๆโดยไม่รู้ตัว คือการประเมินสถานการณ์ว่าเราควรจะโกรธเคืองเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าโกรธควรโกรธมากแค่ไหน ที่จริงแล้วเป็นพฤติกรรที่ไม่มีเหตุผลเลย เราเหยียบคันเร่งจนสุดและยอมเสี่ยงอุบัติเหตุเพียงแค่จะไล่ตามรถอีกคันหนึ่งให้ทันและอยากรู้ว่าเราควรโกรธแค่ไหน (ขอเห็นหน้า)
ยิ่งมนุษย์แสดงความเย่อหยิ่งออกมามากเท่าไหร่ ข้างในของเขาก็ยิ่งอ่อนแอและไร้อำนาจมากเท่านั้น โดยธรรมชาติแล้วเรามักจะมีความเห็นอกเห็นใจให้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ คนป่วยหรือแม้กระทั่งสัตว์ เพราะเรามองเห็นความอ่อนแอจากรูปลักษณ์ภายนอกได้ง่ายกว่า ถึงแม้เราจะทำใจให้เห็นอกเห็นใจคนที่ขับรถท่าทางคะนองได้ยากกว่า แต่เราก็ต้องมองให้ออกว่าศักดิ์ศรีต่างหาก ที่เป็นตัวชี้ขาดว่าเราจะมองเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ในรูปลักษณ์ภายนอกได้ดีแค่ไหน

เมื่อคุณเข้าหาคนที่นินทาคนโดยปราศจากการโจมตี มีความเชื่อว่าเขาเองก็จะลดศักดิ์ศรีลงด้วย เขาจะรู้สึกทันทีว่าความเจ็บปวดของคุณก็คือความเจ็บปวดของเค้านั่นเอง ก่อนหน้านี้เราพูดถึงการแสดงตัวว่าคุณเป็นมนุษย์คนหนึ่ง(เจ็บปวดเป็น) แต่วิธีนี้ไม่จำเป็นต้องมาเจอหน้าและหยิบสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ขึ้นมาพูด คุณเพียงแค่ขอความช่วยเหลือจากเขา ขอให้เขาช่วยยุติความทุกข์ที่ยืดเยื้อมานานจากน้ำมือของบรรดาคนที่ปล่อยข่าวลืออันร้ายกาจและน่ารังเกียจนี้ (ขอกันดีๆ)
พูดตรงตรง
แต่ถ้าพฤติกรรมดังกล่าว ยังเป็นปัญหาในภาพรวมและคุณยังต้องทำงานกับคนคนนี้ต่อไป หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คือคนคนหนึ่งจะปฏิบัติต่อคุณอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราปฏิบัติต่อเขาอย่างไรเช่นกัน ดังนั้นคุณจึงมีทางเลือกเสมอที่จะหยิบพฤติกรรมของเขาขึ้นมาพูดและบอกให้เค้ารู้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวไม่เป็นที่ยอมรับและคุณจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีก (เด็ดขาด)
